ชุมชนช่วงบุกเบิกและการพึ่งตนเอง ของ ตำบลทุ่งมน (อำเภอปราสาท)

ชุมชนบ้านทุ่งมนถือได้ว่าเป็นชุมชนโบราณ ที่มีการตั้งถิ่นฐาน หลักแหล่งที่อยู่อาศัยอยู่บริเวณนี้แต่ดั้งเดิม ส่วนใหญ่เป็นคนมีเชื้อสายเขมร มีวัฒนธรรมทางภาษา ความเชื่อ ประเพณีเป็นของตนเองที่เข้มแข็ง การตั้งถิ่นฐานบ้านทุ่งมนคาดว่าเป็นคนพื้นถิ่นแถบนี้ มีการลงหลักปักฐานอาศัยบนที่โคก พื้นที่เนินใกล้แหล่งน้ำ ตามคำบอกเล่าของคนในชุมชน ๆ ที่เก่าแก่ที่สุด น่าจะเป็นบ้านโคกจ๊ะ และบ้านทุ่งมนตะวันตก สะพานหัน ตามลำดับ การปรากฏหลักฐานที่พอสืบทราบการตั้งอายุของชุมชน คือ วัดศรีลำยอง สร้างราวปีพุทธศักราช 2303 ร่วมยุคสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ก่อนการตั้งเมืองสุรินทร์ ชุมชนนี้มีคนพื้นที่มีการตั้งถิ่นฐานเดิมอยู่แล้ว มีความผูกพันติดต่อกันกับชุมชนที่อยู่ทางใต้เทือกเขาพนมดงรัก และการโยกย้ายผู้คนอพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาพบว่าส่วนใหญ่ย้ายมาจากทางทิศเหนือ แถวทุ่งกุลาร้องไห้ อำเภอท่าตูม อำเภอชุมพลบุรี คนที่ย้ายเข้ามาในชุมชนบริเวณนี้ส่วนมากจะมาจากทางทิศเหนือและทิศตะวันออกตามลำดับ และไม่ปรากฏนักว่ามีการย้ายมาจากทางทิศใต้และทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทางกลับกันคนท้องถิ่นเช่นบ้านทุ่งมน บ้านโคกจ๊ะ จะมีการย้ายถิ่นออกไปทางทิศใต้และตะวันตกมากที่สุด (สุริโย บุติมาลย์)

นอกจากนี้ในการสืบค้นทางสายตระกูลใหญ่ ๆ ในชุมชนบ้านทุ่งมนพบว่ามีการครอบครองที่ดินเป็นจำนวนมาก ได้เป็นผู้นำหมู่บ้านหลังการแยกตั้งหมู่บ้านแยกออกจากหมู่บ้านหลัก คือทุ่งมนตะวันตก กระจายออกไปทางทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือรวมอยู่ด้วย เช่นสายตระกูลเรืองชาญ ทองกระจาย แผลงดี เงินเก่า ดังถวิล อินัง อย่านอนใจ ฯลฯ และอีกสายตระกูลหนึ่งที่พบว่ามีสมาชิกเยอะ คือสายตระกูลล้อมนาค สมนึกตน สายสู่ ทรงสีสด บุญสวัสดิ์ แก้วกมล เหมาะเป็นดี ฯลฯ เป็นต้น

นอกจากนามสกุลข้างตนเป็นคนพื้นเพบ้านทุ่งมนแล้วยังมีนามสกุลที่มีพื้นเพอยู่บ้านทุ่งมนอีก คือ ได้ทุกทาง ดีตลอด สมใจเรา หวังทางมี หวังสำราญ หวังให้สุข เถาะพูน พรหมนุช ครองชื่น แน่นหนา ดังประสงค์ คงทันดี ชาวเมืองดี ยังดี ประกายแก้ว ทรงแสงจันทร์ พูนลัน ฯลฯ ที่มีการกระจายตัวไปตั้งหมู่บ้านใหม่ ๆ ทางทิศตะวันตก แถวจังหวัดบุรีรัมย์ในปัจจุบันจำนวนมากการกระจายไปทางทิศตะวันออก หรือทุ่งมนตะวันออก บ้านตาตวนมีการอพยพโยกย้ายจากหมู่บ้านอื่น เช่นโคกจ๊ะ ตาปาง สวายเข้ามาและได้มาสมรสกับตระกูลทางทุ่งมนตะวันตกที่สำรวจพบ คือ สายตระกูลประชุมรักษ์ ศรีราม ปลุกใจหาญ จะมัวดี ไม้สูงดี เก่านาน สมใจหวัง ลับแล ฯลฯ เป็นต้น ทุ่งมนตะวันออกมีการเกิดขึ้นของตระกูลใหม่ ๆ มีบุคคลหัวก้าวหน้านำให้ช่วงที่มีการจัดตั้งตำบล โรงเรียนประชาบาล ก็มีผู้เป็นกำนัน เป็นครูหลายคน

จากการศึกษาข้อมูลสัมภาษณ์พบว่าสายตระกูลที่สำรวจพบ สามารถสืบสายตระกูลไปได้ประมาณ 6-7 ชั่วอายุคนเป็นอย่างน้อยและมีความสัมพันธ์กับชื่อที่โคกต่าง ๆ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์บ้านทุ่งมน การกระจายแยกตัวของการตั้งหมู่บ้านใหม่ ตามความเชื่อของตนบ้านทุ่งมนตะวันตกบางส่วนเชื่อกันว่าต้นตระกูลของตัวเองสืบเชื้อสายมาจากยายจรูก ตาสู่ โดยเฉพาะสาย ตระกูล เรืองชาญ เงินเก่า แผลงดี ทองกระจาย ฯลฯ มีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาตามสายบรรพบุรุษมาว่า ยายจรูกเป็นเศรษฐี เป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุด เมื่อตอนเด็ก ๆ อพยพมากับจากเวียงจันทร์เดินทางมากับพ่อและตัวเองก็อาศัยอยู่กับคนหมู่บ้านทุ่งมนตะวันตกซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว

เมื่อสมัยเป็นเด็กยายจรูกหลังจากได้อาศัยคนบ้านทุ่งมน มีเหตุการณ์ล้างเผ่าพันธ์กันขึ้นคือ มีการใช้คำถามว่า “อันเต” คือถามว่าเป็นใครถ้าพูดไม่ชัดเป็นภาษาเขมรก็จะฆ่าทิ้ง จะต้องพูดคำว่า “อันเตอ” เหตุการณ์นี้เจ้าของบ้านที่ยายจรูกอาศัยอยู่ด้วยเอาไปซ่อนในตะกร้าใบหม่อนคว่ำไว้จึงรอดพ้นจากวิกฤติครั้งนั้นมาได้ พอโตขึ้นมาก็ได้แต่งงานกับตาสู่ ซึ่งเป็นคนบ้านทุ่งมนตะวันตกนั่นเอง ด้วยความที่เป็นน่านับหน้าถือตาของชุมชนด้วยเป็นเศรษฐี สมัยหนึ่งมีการเก็บภาษี (ส่วย) [1]จากรัฐแก่ทางการชาวบ้านที่ไม่มีเงินส่งแก่รัฐก็จะมายืมยายจรูก ถ้าไม่มีเงินคืนให้ชาวบ้านก็จะส่งตัวแทนคนในบ้าน 1 คนมาเป็นแรงงานชดใช้ บางครั้งก็ยกมาทั้งครอบครัว ในรายที่มาอยู่ด้วยทั้งครอบครัวต่อมายายจรูกก็ยกที่ดินให้เป็นที่ทำกิน ไม่ปรากฏว่ามีการทรมาน กดขี่ แต่อย่างใดแก่คนที่มาใช้แรงงานใช้หนี้

สิ่งที่แสดงฐานะว่ายายจรูกเป็นเศรษฐีของชุมชน คือการเลี้ยงวัว ควาย จำนวนมาก เชื่อกันว่ายายจรูกมีวัวประมาณ 300-500 ตัว มีวิธีการเลี้ยงย้ายคอกบ่อย ๆ และมีการบุกเบิกที่ดินทำกินไปด้วยจึงทำให้แกมีที่ดินในการครอบครองมาก จนตกมาถึงทายาทรุ่นต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน จากการย้ายคอกวัว ควายบ่อย ๆ นี้เองก็เกิดเป็นองค์ความรู้ที่ตกมาจนถึงสมัยปัจจุบัน คือเวลาเคลื่อนย้ายวัวไปที่แห่งใหม่ คอกวัว ควายที่ล้อมรั้วไว้ก็จะทำการเพาะปลูกพืช ประเภท เผือก มันเทศ ข้าวโพด ฝ้ายที่ใช้ในการทำเครื่องนุ่งห่ม ทำไร่ยาสูบ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเอาไว้ด้วย

ครั้งหนึ่งเกิดโรคระบาด วัว ควายล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงเป็นสาเหตุให้ยายจรูกต้องต้อนวัวไปเลี้ยงแบบปล่อยไว้ในป่าตามธรรมชาติ ในทุ่งหญ้ากลางป่า มีหนองน้ำธรรมชาติกลางป่าซ่อนเอาไว้เวลาใครที่แปลกหน้าเข้าไปวัวควายจะหายเข้าป่าไปหมด เวลายายจรูกเข้าไปในป่าหาวัวจะมีสัญญาณเคาะไม้เป็นจังหวะวัวควายก็จะปรากฏตัวออกมา ปัจจุบันก็คือ “ทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์ทุ่งโครอย”มีภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “กู่รวย” แปลว่า “โครอย” หรือโคร้อย และนอกจากอาชีพทำการเลี้ยงปศุสัตว์แล้ว มีอาชีพที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือการ ค้าเกลือ โดยที่ว่ายายจรูกมีเกวียนในการใช้บรรทุกเกลือประมาณ 20 เล่ม จากคำบอกเล่าของทายาทยายจรูกรุ่นที่ 5 โดยการเดินทางเป็นคาราวาน โจร ผู้ร้ายไม่กล้ามาตอแย แต่เมื่อพบก็จะมาขอเพียงข้าวปลาอาหาร เท่านั้น การเดินทางไปกลับประมาณครึ่งเดือน แต่ทายาทไม่รู้ว่ายายจรูกไปเอาเกลือมาจากบริเวณใด ทราบเพียงว่าเดินทางทวนน้ำไปตามลำน้ำชีว์น้อยเท่านั้น

จากการสัมภาษณ์พบว่าทายาทยายจรูกก็ได้กระจายไปตั้งหลักแหล่งหมู่บ้านใหม่ ๆ เนื่องจากหมู่บ้านทุ่งมนเริ่มแออัด และทำเลภูมิประเทศน่าจะดีกว่าเดิม เช่นสายเรืองชาญบางส่วนไปอยู่ที่บ้านแสรโอ สายบ้านกำไสจานคือตระกูลทองกระจาย ที่อยู่บ้านทุ่งมนตะวันตกเหมือนเดิมคือตระกูลแผลงดี เงินเก่า เรืองชาญ ทองกระจายบางส่วนไปทางบ้านทุ่งมนตะวันออก โดยการแต่งงานกับคนท้องถิ่นและอพยพมาจากถิ่นอื่นแต่ว่าเป็นที่นับหน้าถือตาของชุมชนนั้น ๆ เป็นต้น

ต่อมาที่มีการบันทึกปรากฏหลักฐานการอพยพโยกย้ายประมาณปี พุทธศักราช 2321 มีนายมาก นางมูล ด้นตระกูล “ประชุมรักษ์” นายตอนต้นตระกูล “สมใจหวัง” เป็นผู้นำกลุ่มแรก ๆ อพยพมาตั้งบ้านเรือนที่บ้านทุ่งมนตะวันออก สันนิษฐานว่ากลุ่มคนเหล่านี้ย้ายมาจากบ้านโคกจ๊ะ และบ้านทุ่งมนตะวันตก สาเหตุที่ย้ายมาเกิดจากที่ตั้งชุมชนเดิมคับแคบจึงพากันย้ายมาทุ่งมนตะวันออกปัจจุบัน (บ้านทุ่งมนหมู่ที่ 2)

บ้านทุ่งมน เชื่อกันว่ามีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนครั้งแรกและมีความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณปีพุทธศักราช 2358 ได้มารวมกันอยู่ไม่มากนัก ต่อมาราวปีพุทธศักราช 2360 ประชาชนในหมู่บ้านได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น บางทีก็มีการอพยพมาจากที่อื่นด้วย ประชาชนในหมู่บ้านได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นมาและได้อาราธนานิมนต์หลวงพ่อตุม ที่ได้จาริก (เดินทาง) กลับมาจากประเทศกัมพูชา เมื่อเดินทางผ่านบ้านคุ้มนี้ที่อยู่ทางด้านเหนือของวัดโคกจ๊ะ ชาวบ้านในชุมชนจึงได้พร้อมใจกันนิมนต์ท่านให้พำนักอยู่ที่นี่ เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ และร่วมกันสร้างวัดขึ้น 1 แห่ง หรือวัด “อุทุมพร” อีกด้านหนึ่งท่านได้นำพาญาติพี่น้องอพยพย้ายจากบ้านเกิดของท่านหลายครอบครัวมาอยู่ข้าง ๆ วัด ด้วยที่ท่านย้ายมาจากเสราะตุมมวน (บ้านทุ่งมนไพรขลา ปัจจุบันชื่อบ้านทุ่งมน อยู่ในตำบลไพรขลา อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์) มาเป็นเจ้าอาวาส เมื่อหลวงพ่อตุม รับนิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ท่านได้ศึกษาทำเลที่ตั้งหมู่บ้านเห็นว่ามีลักษณะภูมิประเทศคล้ายคลึงกันกับทำเลที่ตั้งของบ้านทุ่งมนไพรขลาเดิม ที่เรียกว่า “เสราะตุมมวนปรีขลา” เช่นมีลักษณะแหล่งน้ำ ลักษณะของพันธ์ไม้ ลักษณะดินคล้ายกันมากจึงเรียกขานชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า “เสราะตุมมวน เสราะโอ๊วตุมมวนโม” อันเป็นสำเนียงเดิมที่นำมาสู่การตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านทุ่งมน” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ต่อมาราวปี พุทธศักราช 2458 ได้มีการจัดตั้งเป็นตำบลตามทางรัฐที่ได้มีการจัดตั้งเขตการปกครองส่วนภูมิภาค ระดับตำบลขึ้นมีอาณาเขตเดิมจากบ้านทุ่งมนจรดเขตชายแดนประเทศกัมพูชา ทำเนียบผู้ปกครองตำบลทุ่งมน จากอดีตถึงปัจจุบัน

  1. นายปริด (สำริด) ศรีราม พ.ศ. 2458 – 2469 ( เป็น ครู ผู้ใหญ่บ้าน และเป็น กำนัน /บิดาของกำนันสบู่)
  2. นายสบู่ ศรีราม พ.ศ. 2469 – 2480
  3. นายกอย สมใจเรา พ.ศ. 2480 – 2494
  4. นายเพลิน ลับแล พ.ศ. 2494 – 2501
  5. นายสนอง หงษ์สูง พ.ศ. 2501 – 2505
  6. นายเพลิน ลับแล พ.ศ. 2505 – 2507
  7. นายพร ทองหาว พ.ศ. 2507 – 2519
  8. นายเล้ง เรืองประดับ พ.ศ. 2519 – 2523
  9. นายบรัน บานบัว พ.ศ. 2523 – 2537
  10. นายเปือง สันทัยพร พ.ศ. 2538 – 2550
  11. นายอุดม หวังทางมี พ.ศ. 2550 - 2562
  12. นายประมวล ยงยิ่งยืน พ.ศ. 2563 - ปัจจุบัน

ต่อมาราวปี พุทธศักราช 2533 ชุมชนบ้านทุ่งมนมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือคณะกรรมการหมู่บ้านและกรรมการสภาตำบลทุ่งมน ได้กำหนดให้มีการแยกหมู่บ้านเพราะเนื่องจากตำบลทุ่งมนมีหมู่บ้านในการปกครองจำนวนมาก และในปีพุทธศักราช 2535 คณะกรรมการสภาตำบลจึงทำการขอแยกตำบลทุ่งมนส่วนหนึ่งออกเป็นตำบลสมุด ซึ่งจากเดิมตำบลทุ่งมนมีจำนวนหมู่บ้าน 19 หมู่บ้าน แบ่งเป็นตำบลทุ่งมน 11 หมู่บ้าน ตำบลสมุด 8 หมู่บ้าน ตามลำดับ

ระยะทางการคมนาคมทางรถยนต์ตำบลทุ่งมนห่างจากอำเภอปราสาทประมาณ 13 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 30.182 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 18,863 ไร่ โดยมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้

  • ทิศเหนือ ติดต่อกับตำบลสวาย อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
  • ทิศใต้ต ติดต่อกับตำบลตานี และตำบลปรือ อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับตำบลสมุด อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับตำบลป่าชัน อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์

ลักษณะทางด้านสภาพแวดล้อมของชุมชนบ้านทุ่งมน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าที่มีภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “ปรีระเบาะ” แปลว่าป่าโคก พื้นดินมีหินและกรวดจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วไป ดินแห้งแล้งน้ำในหน้าร้อน หรือป่าเต็งรังในภาษากลางนั่นเอง ในอดีตที่นี่มีป่าที่อุดมสมบูรณ์เข้าลักษณะเป็นป่าโคกหรือป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ สลับทุ่งหญ้าธรรมชาติ และเป็นป่าดิบแล้งริมลำน้ำห้วยโอก็วล และลำน้ำชีว์น้อย ที่ปรากฏว่าเคยมีไม้ประเภทต้นยาง ไม้ตะเคียนหิน ตะเคียนทอง กระบาก ตะแบก เหียงขนาดใหญ่มากมาย และป่าริมน้ำหรือพื้นที่ชุ่มน้ำ (West land) “ปรีระเนียม หรือ ดบกุมพะเนง”หรือป่าทาม นอกจากนี้พื้นที่ป่า”ปรีระเบาะ”ยังมีสภาพเป็นดินลูกรัง และมีหินโผล่ ประเภทหินอัคนี หินปูน ที่เกิดจากการดันตัวของเปลือกโลก ด้านทิศใต้ลาดเอียงติดลำห้วยก็วล ทิศตะวันออกลาดเอียงไปมีลำห้วยตาแบน ตาปุด ทางด้านทิศเหนือมีร่องน้ำห้วยโคกเมืองไหลไปบรรจบที่บ้านตาอี ทิศตะวันตกมีลำห้วยลำน้ำชีว์น้อย เป็นแหล่งเกษตรน้ำฝน มีแหล่งน้ำไหลผ่านชุมชนทั้งสี่ด้านตลอดช่วงหน้าฝน และด้วยความเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ตามลักษณะภูมิประเทศนี้เอง การปรากฏของชื่อแหล่งน้ำ คือ ร่องน้ำ ลำห้วย เก่า ปัจจุบันพอเหลือร่องรอยพอสังเกตได้บ้าง เช่น อันโนงโฮ หรือ อันโนงจู๊บ ที่เป็นชื่อเรียกภาษาถิ่นแปลว่า บ่อน้ำไหล หรือบ่อน้ำซับ อยู่ทางทิศเหนือบ้านตาเจียด ปัจจุบันได้มีการสร้างถนนกั้นทางน้ำ และบริเวณที่เป็นแหล่งน้ำซับธรรมชาติได้ถูกขุดเป็นสระน้ำและยังมี ลำห้วย โอจรอก แปลว่า ลำธารไหล ตาน้ำ ที่เรียกอย่างนี้เพราะมีน้ำไหลเสียงจรอก ๆ ตลอดทั้งหน้าฝน อยู่ทางทิศตะวันตกบ้านตาเจียด กั้นกลางบ้านตาเจียดกับโคกหมอสุด ก่อนไหลลงลำห้วยโอก็วลและลำห้วยโอก็วลไหลไปบรรจบกับลำน้ำชีว์น้อยที่ป่าหนองกก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของชุมชนบ้านทุ่งมน มีพืชสมุนไพรทุกประเภทอยู่เต็มผืนป่าโดยสมุนไพรแต่ละอย่างจะขึ้นอยู่ตามแต่สภาพลักษณะของแต่ละป่า ในพื้นป่าช่วงแรกจริง ๆ ยังมี แรด เสือ สิงโต กูปรี หมูป่า เก้ง กระต่าย แม่น ชะมด ลิง ค่าง ชะนี หมาจิ้งจอก นางอาย กระรอก กระแต งู เต่า ตะกวด หนู ฯลฯ นกทุกชนิดอาศัยอยู่มาก ช่วงปลาย ๆ สัตว์ใหญ่จะเริ่มอยู่ห่างชุมชนไปเรื่อย ๆ บางครั้งสัตว์ใหญ่บางตัวยังหลงเข้ามาเดินในหมู่บ้าน ในน้ำมีสัตว์น้ำหลากหลายพันธุ์ ปลาตัวโต ๆ ลำห้วยโอก็วลน้ำจะไหลแรงมากในช่วงมีฝนตก ห้วยจะลึก สองข้างฝั่งห้วยเป็นป่ากุมพะเนงรกทึบ ปลาชุกหน้าฝน หน้าแล้งน้ำจะขังอยู่ตรง”ละลวง”ตื้น ๆ น้ำขุ่นปลาจะหายากนิดหนึ่ง ส่วนห้วยชีว์น้อย”ละลวง” จะลึก น้ำใส ซึ่งอยู่เป็นช่วง ๆ ติดต่อกันตลอดของลำห้วย เป็นที่รวมของปลาต่าง ๆ เป็นแหล่งอาหารยามหน้าแล้ง ที่โล่งเป็นที่นาหรือไร่ปลูกข้าว บริเวณที่ตั้งชุมชนมีลักษณะเป็นเนินโคก พืชผลไม้ขึ้นอยู่กระจายเต็มหมู่บ้าน รอบ ๆ ชุมชนมีสภาพเป็นป่าเบญจพรรณเขตร้อน ป่าเต็งรังและมีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ บริเวณริมน้ำก็เป็นป่าบุ่ง ป่าทาม น้ำท่วมถึงในช่วงน้ำมากและมีป่าไผ่ (ป่าระไซร้) เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า นก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์น้ำมากมาย แหล่งอาหารอยู่รอบชุมชน ในหน้าแล้งมีน้ำกิน น้ำใช้หาบเอาที่บ่อน้ำที่ขุดไว้ใกล้ลำห้วยในลักษณะทางเศรษฐกิจของชุมชนทุ่งมน เนื่องจากการอิงอาศัยฐานทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ แหล่งน้ำ ที่มีความเป็นธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มากที่สุดและยังเป็นป่าทึบ ประชากรยังน้อย การเพาะปลูกมีแต่การปลูกข้าวเป็นหลัก ถึงจะมีพืชอื่นอยู่บ้างแต่ก็เล็กน้อยและจะปลูกไว้ใกล้บ้านเท่านั้น มีการจับจองพื้นที่ทำนาพอเหมาะแก่แต่ละครัวเรือน การเลือกพื้นที่ทำนาก็เลือกเอาที่ที่มีความเหมาะสมตามธรรมชาติ ที่นาส่วนมากจะเป็นแอ่ง เป็นหนองน้ำตื้น ๆ ที่ดอนหรือที่แปลงนาใหม่ในป่าทำนาไม่ค่อยได้ผล การทำนาข้าว ไร่ข้าว จะประสบปัญหาทางธรรมชาติและสัตว์ป่า นกลงกัดกินทำลายข้าวสูง ได้ข้าวไว้กินน้อยต้องนำเนื้อปลา พืชผลหมากรากไม้อื่นเป็นอาหารผสมให้มาก ของใช้สอยในครอบครัวทำขึ้นเองจากธรรมชาติ ชีวิตไม่จำเป็นต้องสะสมอาหารอื่นนอกจากข้าว ไม่ต้องรีบเร่งร้อนร้น หากินใกล้บ้าน ออกไปไกลบ้านจะกลัวสัตว์ป่าต่าง ๆ หรือหลงป่า ส่วนมากผู้ชายจะเป็นพรานเข้าหาอาหาร สมุนไพรและเครื่องเทศหาได้จากป่า พืชผลไม้ขึ้นอยู่กระจายเต็มหมู่บ้าน บางครอบครัวร่ำรวย มีข้าบริวาร เลี้ยงสัตว์ใช้งานทำนา เทียมเกวียน พักผ่อนหย่อนใจแสดงฐานะทางเศรษฐกิจ บางครอบครัวอยู่พิงพึงอาศัยระบบอุปถัมภ์ไม่ได้วางแผนไม่เห็นความสำคัญในการสร้างฐานะมีทรัพย์ส่วนตัวเพราะรวยโจรจะปล้น บางครอบครัวหาเลี้ยงชีวิตแบบเพียงมีของกิน มีเวลานอน มีที่พักผ่อน ทำงานเบา ทำกินเลี้ยงชีวิตวันต่อวัน ผ้านุ่งชุดเดียว อยู่บ้านเสาไม้ไผ่หลังคาหญ้าคาฝาใบไม้ หุงข้างหม้อดิน เชิงกรานเผาฟืน กะลาใส่แกง ฝาหอยกาบเป็นช้อน แสงไฟจากไต้จุดไว้เป็นแสงสว่างยามค่ำคืน ของกินของใช้แลกเปลี่ยนแจกจ่ายแบ่งกันในหมู่บ้านง่าย ๆ เกือบทุกคนที่ไม่เตะต้องเหล้าของมึนเมา อยู่ร่วมกันพบปะพูดคุยพึ่งพาอาศัยกันในชุมชนได้อย่างจริงใจ

การบุกเบิกในช่วงแรกเป็นการจับจองที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยและการเพาะปลูกเพื่อการบริโภคใกล้ ๆ บริเวณที่ดินของครัวเรือนประมาณ 1-5 ไร่ ครอบครัวใหญ่ ขยัน หัวก้าวหน้าหรือฐานะดีจะมีประมาณ 10 – 20 ไร่ การบุกเบิกการตั้งถิ่นฐานชุมชน โดยวิธีการหักร้างถางพงการแสดงความเป็นเจ้าของด้วยการชวนเพื่อนบ้านไปด้วย แล้วเดินชี้เขตบริเวณที่ต้องการแล้วให้เพื่อนบ้านเป็นพยานและยังมีวิธีการแลกเปลี่ยนด้วยเครื่องมือการเกษตรอีกด้วย

การถ่ายโอนกรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินและกรรมสิทธิ์เหนือที่ดิน มีวิธีการแบ่งที่ดินให้กับทายาท ลูกหลาน ด้วยการแบ่งให้เท่า ๆ กันทุกคนและจะจัดที่ดินบางส่วนเก็บไว้ให้แก่ตนเอง เผื่อไว้สำหรับยกให้ลูกหลานที่ดูแลตนเอง กรณีที่ไม่ได้ที่ดินก็จะได้รับเป็นเงินทดแทนหรือขายให้กับพี่น้องก็ได้

ลักษณะการใช้ประโยชน์บนที่ดินของชุมชน ในอดีตบริเวณที่ตั้งชุมชนมีลักษณะเป็นเนินโคก มีสภาพเป็นป่าเบญจพรรณเขตร้อน และป่าเต็งรัง สลับทุ่งหญ้า บริเวณริมน้ำก็เป็นป่าบุ่งทาม ภาษาถิ่น (กุมพะเนง) และมีป่าไผ่ (ระไซร้) การบุกเบิกในช่วงแรกเป็นการจับจองที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย และทำการทำมา หากินเลี้ยงชีพ เพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารใกล้ ๆ บนที่ดินของครัวเรือนประมาณ 1 – 5 ไร่ เป็นอย่างมากไม่เกิน 10 – 20 ไร่แบบค่อยเป็นค่อยไป ตามเงื่อนไขเครื่องมือพลังการผลิตในยุคนั้น ๆ ที่สอดคล้องสัมพันธ์พลังการผลิต โดยใช้แรงงานในครัวเรือนเป็นส่วนใหญ่และยังมีการเลี้ยงสัตว์ประเภทวัว ควายใช้เป็นแรงงานไถนา วัวใช้ลากเกวียนบรรทุก ทั้งใช้แรงงานและขายและหมูไว้สำหรับบริโภคและแลกเปลี่ยน ฯลฯ ในช่วงแรกเป็นการทำการผลิตสำหรับการบริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก

คือการทำข้าวไร่ ซึ่งมีกระบวนการผลิตข้าวไร่หรือที่เรียกว่าข้าวหยอดหลุม ที่เน้นผลิตไว้บริโภคในครัวเรือน โดยใช้พันธุ์ข้าวที่มีลักษณะเมล็ดแดง ยาวเหมือนข้าวขาวดอกมะลิแต่อ้วนกว่ากลิ่นหอมเหมือนใบเตย ปัจจุบันเลิกปลูกดินไม่มีปุ๋ย ดินไม่ดี สภาพปัญหาในอดีตสู้วัชพืชไม่ได้ พบกับปัญหาหนู สัตว์ปีกประเภทนกแก้ว วัว ควาย ฯลฯ เป็นต้น

วิธีการเพาะปลูก คือเป็นพันธุ์ข้าวอายุประมาณ 3 เดือน ได้เก็บเกี่ยว จะเริ่มปลูกประมาณเดือน พ.ค – สิงหาคม ใช้วิธีการเผาป่า เผาไร่ ให้ดินสุก ไม่ไถ ใช้คราดลากเกลี่ยดิน ใช้แรงงานประมาณ 2 คน โดยคนหนึ่งเดินนำหน้าใช้ไม้ไผ่จิ้มเสียบขุดรู คนที่สองเดินตามหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวและกลบหลุมด้วย ใช้วิธีการปลูกรวมกับพืชผักสวนครัวในไร่นาข้าวผสมด้วย เช่นมันเทศ แตงไทย งา ถั่ว มะเขือ พริก ข้าวโพด ฯลฯ เป็นต้นปลูกแซมระหว่างหลุมข้าว และบริเวณรอบ ๆ แปลงข้าวไร่ ตามจอมปลวกบ้าง ผลผลิตข้าวไร่หนึ่งได้ประมาณ 30 ถัง

ด้านการดำรงชีพ ด้านอาหารอาศัยฐานทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทั้งแหล่งน้ำและผืนป่าที่สมบูรณ์มากไปด้วย ทั้งพืชผักอาหารป่า ทั้งสัตว์น้ำ สัตว์ป่า โดยการจับปลาใช้วิธีง่าย ๆ คือการใช้เบ็ด แห ฉมวก ยอ สุ่ม สวิง ฯลฯ การเป็นพรานป่าดักสัตว์ ด้วยการล่าเป็นอาหารเป็นหลัก ด้วยในอดีตบริเวณนี้มากไปด้วยสัตว์ป่า เช่น เก้ง หมูป่า ไก่ป่า ฯลฯ การจับสัตว์ป่าใช้ปืนแก๊ป ใช้แร้วดักสัตว์ เป็นต้น นอกจากนั้นก็เก็บหาของป่าเช่น เห็ดต่าง ๆ ดอกกระเจียว และสมุนไพร หน่อไม้ตามป่าริมน้ำ ผักต่าง ๆ จากในป่า ซึ่งมีอยู่อย่างมากมายหากินได้ตลอดทั้งปีจนถึงขนาดที่เรียกว่าชั่วหม้อน้ำเดือด หมายถึงว่า เมื่อชาวบ้านอยากกินอาหารป่าต้มเห็ด ต้มปลา พ่อบอกลูกชาย ลูกสาว ให้ตั้งหม้อต้มน้ำ เตรียมเครื่องปรุงรอ สักครู่พ่อออกไปที่ป่า หาเห็ด หรือปลา ก็กลับมาพร้อมกับของป่า ขณะที่หม้อน้ำที่ตั้งไฟเตรียมทำอาหารยังไม่ทันเดือด จนเป็นความภาคภูมิใจของคนที่ร่วมสมัยที่มีชีวิตอยู่เล่าเป็นตำนานบอกกับลูกหลานตนเอง ด้วยความภูมิใจและโหยหาอดีต ที่บ่งบอกสภาพความอุดมสมบูรณ์ของฐานทรัพยากรธรรมชาติท้องถิ่น

นอกจากนั้น จะมีการทอผ้าไว้ใช้เองยามว่างจากนา ไร่ ในช่วงหน้าแล้งสำหรับไว้ใช้ในครัวเรือน โดยจะมีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ปลูกฝ้าย และการผลิตก็ใช้เครื่องมือทอผ้าแบบพื้นบ้านด้วยกี่มือหรือกี่ธรรมดา ส่วนใหญ่จะทอเป็นผ้าโสร่ง ผ้าซิ่น และเก็บไว้สำหรับเป็นเครื่องนุ่งห่ม และสำหรับเก็บไว้ใช้ในพิธีงานบุญ งานมงคลใช้เป็นสินสอด โดยเฉพาะผ้าไหม และใช้ในงานตามพิธีกรรม ความเชื่อ ความศรัทธาของท้องถิ่นเป็นสำคัญ

และยังสำรวจพบว่าชุมชนทุ่งมน/สมุดยังมีกระบวนการผลิตเครื่องปั้นดินเผาหมอ ไห สำหรับใช้ในการหุงต้ม โดยใช้ดินจากลำห้วยโอก็วลเป็นวัตถุดิบในการผลิต บริเวณบ้านสมุดและยังมีการอนุรักษ์และปั้นหม้อเป็นอาชีพอยู่ แม้ว่าปัจจุบันแหล่งวัตถุดิบในการปั้นหม้อจะถูกทำลายจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของการพัฒนาแหล่งน้ำของชุมชนแล้วก็ตามอาจสรุปได้ว่าลักษณะทาง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ฯลฯ บ้านทุ่งมน / สมุดในอดีตเป็นมิติของการผลิตแบบพอเพียงหรือเศรษฐกิจชุมชนพึ่งตนเองซึ่งมีศักยภาพสูงมาก ทั้งด้านการผลิตข้าวที่พอเพียงในครัวเรือน การผลิตเครื่องนุ่งห่มไว้ใช้ในระดับครัวเรือน เครื่องใช้ในครัวเรือนและแรงงานช่วยเหลือกันในครอบครัว แหล่งอาหารจากธรรมชาติทั้งสัตว์ พืชพันธุ์ธัญญาหาร ได้อย่างเพียงพอต่อการตอบสนองทางปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต โดยมีเงื่อนไขปัจจัยที่สำคัญ คือความอุดมสมบูรณ์ของฐานทรัพยากรธรรมชาติและจำนวนประชากร ที่มีระบบความสัมพันธ์ ทางวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ที่มีความแนบแน่นในระบบเชิงเครือญาติสูง

สภาพทั่วไป
  • ที่ตั้ง ตำบลทุ่งมน เป็น 1 ใน 18 ตำบลของอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของที่ว่าการอำเภอปราสาท ห่างจากตัวอำเภอปราสาทระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร
  • เนื้อที่ ตำบลทุ่งมน มีเนื้อที่ประมาณ 30.182 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 18,863 ไร่
ภูมิประเทศพื้นที่มี 3 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นที่เนินสูงป่าเขา ที่ราบทุ่งนา และที่ราบลุ่มริมห้วย ที่เนินสูงป่าเขามีลักษณะดินเป็นดินลูกรัง ที่ราบทุ่งนาเป็นดินปนทราย ส่วนที่ราบลุ่มห้วยเป็นดินเหนียว ที่ราบลุ่มริมห้วยเป็นที่ทำนามักจะมีน้ำท่วมบ่อย ๆ และที่สูงมักขาดน้ำบ่อย ๆ
  • ทิศเหนือ ติดต่อกับตำบลสวาย อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
  • ทิศใต้ ติดต่อกับตำบลตานี และตำบลปรือ อำเภอปราสาท
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับตำบลสมุด อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับตำบลป่าชัน อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์
จำนวนหมู่บ้าน ตำบลทุ่งมน

แบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 11 หมู่บ้าน โดยมีรายชื่อหมู่บ้าน และผู้นำ ดังนี้

  1. ทุ่งมน นายเฮีย หวังทางมี
  2. ทุ่งมน นางวิไลย์ ทองโยง
  3. ตาเจียด นายประกอบ พูนยิ่งยงค์
  4. กำไสจาน นายปัญญา วาจาดี
  5. ตาอี นายวีรวัฒน์ จันทร์ครบ
  6. ตันเหลือบ นายวิกรม บุติมาลย์
  7. สะพานหัน นายคำนูญ ชื่นชมยิ่ง
  8. หนองหรี่ นายประมวล ยงยิ่งยืน (กำนัน)
  9. ทุ่งมน นายชัยยุทธ ลิ้มรัตนานุกุล
  10. แสรโอ นางณัฐกานต์ หวังทางมี
  11. ลำพุก นายปัญชา ลับแล
หมู่บ้าน
  1. ทุ่งมน
  2. ทุ่งมน
  3. ตาเจียด
  4. กำไสจาน
  5. ตาอี
  6. ตันเหลือบ
  7. สะพานหัน
  8. หนองหรี่
  9. ทุ่งมน
  10. แสรโอ
  11. ลำพุก

เพศ / พ.ศ. ปี 2547 ปี 2548 ปี 2549 ปี 2550หญิง 3,416 3,483 3,469 3,436ชาย 3,474 3,440 3,485 3,405รวม 6,890 6,923 6,954 6,841

ที่มา กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (ธ.ค. 47 ธ.ค.48 ธ.ค.49 ธ.ค. 50)

2.สภาพทางเศรษฐกิจ2.1 อาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และรับจ้างทั่วไป โดยคิดเป็นร้อยละ ได้ดังนี้- เกษตรกรรม ทำนา รวมทั้งปศุสัตว์ 85 เปอร์เซ็นต์- ทำไร่ 5 เปอร์เซ็นต์- อื่น ๆ เช่น รับจ้าง ค้าขาย รับราชการ 10 เปอร์เซ็นต์

สถิติรายได้เฉลี่ยของคนในครัวเรือนปี 2548 บาทปี 2549 บาทปี 2550 บาทที่มา ข้อมูล จปฐ. ปี 2550 อบต. ทุ่งมน

3. สภาพสังคม3.1 การศึกษา- โรงเรียนประถมศึกษา 3 แห่ง• โรงเรียนบ้านทุ่งมน (ริมราษฎร์นุสรณ์) ตั้งอยู่ ม.9• โรงเรียนบ้านสะพานหัน ตั้งอยู่ ม.7• โรงเรียนบ้านกำไสจาน ตั้งอยู่ ม. 4- โรงเรียนประถมศึกษา (ขยายโอกส) 1 แห่ง• โรงเรียนบ้านหนองหรี่ ตั้งอยู่ ม.8- โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย 1 แห่ง• โรงเรียนทุ่งมนวิทยาคาร ตั้งอยู่ ม.2 ต.สมุด- ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวันเรียน 2 แห่ง• ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองโบสถ์ ตั้งอยู่ ม.9• ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดป่าหินกอง ตั้งอยู่ ม. 4- ศูนย์เรียนรู้ชุมชนตำบลทุ่งมน 1 แห่ง• ศูนย์เรียนรู้ชุมชนตำบล ณ วัดสะเดารัตนาราม ตั้งอยู่ ม.10

3.2 สถาบันและองค์กรทางศาสนา- วัด 3 แห่ง• วัดอุทุมพร ตั้งอยู่ ม. 9• วัดประทุมทอง ตั้งอยู่ ม. 6• วัดสะเดารัตนาราม ตั้งอยู่ ม.10- ที่พักสงฆ์/สำนักปฏิบัติธรรม 3 แห่ง• พรหมคุณสามัคคีธรรม ตั้งอยู่ ม.1• วัดป่าหินกอง ตั้งอยู่ ม. 4• บ้านสะพานหัน ม. 73.3 ปราชญ์ชาวบ้าน/ภูมิปัญญาชาวบ้าน- หมอนวดแผนโบราณ 3 คน- หมอสมุนไพร 2 คน- หมอเป่า 1 คน- หมอสะเดาะห์เคราะห์ 3 คน- หมอโหร/ทำนาย 2 คน- พิธีกรรม 8 คน- จักสาน 10 คน- ดนตรีพื้นบ้าน/การแสดง 20 คน- การเกษตร 2 คน3.4 หน่วยงานราชการ 2 แห่ง- องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมน ตั้งอยู่ ม. 1- สถานีอนามัยประจำตำบล ตั้งอยู่ ม. 2

4. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม4.1 แหล่งน้ำ- สระน้ำ, หนองน้ำ• ม.1 หนองเปรย, สระน้ำหลวงตา, ฝายตาเวด• ม.2 หนองโชค• ม.3 หนองกก, สระตาเจียด• ม.4 สระน้ำ• ม.5 สระน้ำ• ม.6 สระน้ำ 3 แห่ง• ม.7 สระน้ำ• ม.8 สระน้ำ• ม.9 สระน้ำ 4 แห่ง• ม.10 หนองตาเตน• ม. 11 หนองลำพุก- ลำห้วยตาก็วล ผ่าน ม. 9, 1, 8, 6, 10, 3 1 สาย- ลำห้วยชี ผ่าน ม. 7, 3, 4, 5 1 สาย

4.2 ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่- ป่าสงวนแห่งชาติกำไสจาน 8,000 ไร่- ป่าทำเลปรือเกือน- ป่าชุมชนหนองกก- ป่าชุมชนโคกหมอสุด- ป่าชุมชนบ้านพลับ- ลำชี- ห้วยก็วล

5. ศักยภาพพื้นที่ตำบล ด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น และ การปกครองส่วนท้องที่

6. ศักยภาพพื้นที่ตำบล ด้านภาคประชาชน• มีกลุ่มป่าชุมชนกำไสจาน เริ่ม ปี 2544• มีกลุ่มวิทยุชุมชน เริ่ม ปี 2546• มีสมาคมบ้านวัดโรงเรียนน่าอยู่ ตั้ง 2548• มีกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบล ซึ่งจัดตั้งเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549• มีสภาเด็กและเยาวชนตำบล จัดตั้ง กันยายน 2550• มีพระสงฆ์เป็นแกนนำในชุมชน

สถานการณ์ตำบลทุ่งมน1. ภัยแล้ง/ฝนทิ้งช่วง2. ชุมชนมีการเรียนรู้ร่วมกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตจั้งแต่ปี 25443. กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเป็นแกนหลักในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน4. มีการรณรงค์โครงการวัดปลอดสุราและงานศพปลอดเหล้า5. มีสภาเด็กและเยาวชนช่วยทำงานในพื้นที่6. มีโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ลำน้ำห้วยชี (ตอนกลาง) ในพื้นที่7. การเมืองนิ่ง ลดความขัดแย้งได้มากกว่าเดิม8. กำนันเป็นแกนนำภาคประชาชนได้

องค์กรเครือข่ายในตำบลทุ่งมน ที่จดจัดตั้งชุมชน กับกำนัน เมื่อวันที่ ๒๑ เดือน กรกฎาคม ๒๕๕๑พื้นที่ จำนวน ชื่อองค์กรองค์เครือข่ายตำบล ๑๒ (๑) กองทุนคุณธรรมสวัสดิการชุมชนพึ่งตนเองตำบลทุ่งมน(๒) กลุ่มวิสาหกิจเลี้ยงโคกระบือบ้านหนองโบสถ์-ทุ่งมน(๓) สมาคมบ้านวัดโรงเรียนตำบลทุ่งมน-สมุดน่าอยู่,(๔) กลุ่มป่าชุมชนกำไสจาน,(๕) กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตำบลทุ่งมน-สมุด (๖) สภาเด็กและเยาวชนตำบลทุ่งมน(๗) กลุ่มอนุรักษ์กบาลแสรตำบลทุ่งมน (ป่าหัวไร่ปลายนา)(๘) ชมรมผู้สูงอายุ “ศิลาผกาลำดวน” ตำบลทุ่งมน,(๙) กลุ่มศิลปดนตรีพื้นบ้านตำบลทุ่งมน(๑๐) ศูนย์เรียนรู้วิทยุชุมชนทุ่งมน-สมุด(๑๑) กลุ่มสตรีวัฒนธรรมทุ่งมน(๑๒) กลุ่มภูมิปัญญาท้องถิ่นทุ่งมน

องค์กรชุมชนแต่ละหมู่บ้าน ที่จดจัดตั้งชุมชน กับผู้ใหญ่บ้าน ก่อนวันที่ ๒๒ เดือน กรกฎาคม ๒๕๕๑พื้นที่ จำนวน ชื่อองค์กร จดจัดตั้งวันที่บ้านทุ่งมน ม.๑ ๓ (๑) กลุ่มสตรีเพื่อการพัฒนาบ้านทุ่งมน ม.๑(๒) กลุ่ม อสม. บ้านทุ่งมน ม.๑(๓) กองทุนหมู่บ้านทุ่งมน ๒๐ ก.ค. ๒๕๕๑๒๐ ก.ค. ๒๕๕๑๒๐ ก.ค. ๒๕๕๑บ้านทุ่งมน ม.๒ ๔ (๑) กองทุนหมู่บ้านทุ่งมน(๒) ร้านค้าชุมชน(๓) กลุ่มเกษตรอินทรีย์(๔) กลุ่ม อสม. บ้านทุ่งมน ม.๒ ๑๘ ก.ค. ๒๕๕๑๑๘ ก.ค. ๒๕๕๑๑๘ ก.ค. ๒๕๕๑๑๘ ก.ค. ๒๕๕๑บ้านตาจียด ๓ (๑) กลุ่มอสม. บ้านตาเจียด(๒) กลุ่มสตรีเพื่อการพัฒนาบ้านตาเจียด(๓) กลุ่มครอบครัวคุณธรรมบ้านตาเจียด ๒๐ ก.ค. ๒๕๕๑๒๐ ก.ค. ๒๕๕๑๒๐ ก.ค. ๒๕๕๑บ้านกำไสจาน ๒ (๑) กองทุนหมู่บ้านกำไสจาน(๒) กลุ่ม อสม. บ้านกำไสจาน ๒๑ ก.ค. ๒๕๕๑๒๑ ก.ค. ๒๕๕๑บ้านตาอี ๒ (๑) กองทุนหมู่บ้านตาอี(๒) กลุ่มอสม. บ้านตาอี ๒๑ ก.ค. ๒๕๕๑๒๑ ก.ค. ๒๕๕๑บ้านตันเหลือบ ๓ (๑) กองทุนหมู่บ้านตันเหลือบ(๒) กลุ่ม อสม. บ้านตันเหลือบ(๓) ส่งเสริมผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนบ้านตันเหลือบ ๑๗ ก.ค. ๒๕๕๑๑๗ ก.ค. ๒๕๕๑๑๗ ก.ค. ๒๕๕๑บ้านสะพานหัน ๒ (๑) กองทุนหมู่บ้านสะพานหัน(๒) กลุ่ม อสม. บ้านสะพานหัน ๒๑ ก.ค. ๒๕๕๑๒๑ ก.ค. ๒๕๕๑บ้านหนองหรี่ ๒ (๑) กองทุนหมู่บ้านหนองหรี่(๒) กลุ่ม อสม. บ้านหนองหรี่(๓) กลุ่มเย็บผ้าบ้านหนองหรี่(๔) กลุ่มออมทรัพย์สตรีบ้านหนองหรี่ ๒๑ ก.ค. ๒๕๕๑

บ้านหนองโบสถ์ ๓ (๑) กลุ่มสตรีเพื่อการพัฒนาบ้านหนองโบสถ์(๒) กลุ่ม อสม. บ้านหนองโบสถ์(๓) กลุ่มเยาวชนบ้านหนองโบสถ์ ๒๐ ก.ค. ๒๕๕๑๒๐ ก.ค. ๒๕๕๑๒๐ ก.ค. ๒๕๕๑บ้านแสรโอ ๔ (๑) กองทุนหมู่บ้าน แสรโอ(๒) กลุ่มอสม. บ้านแสรโอ(๓) กลุ่มทำน้ำปลา บ้านแสรโอ(๔) กลุ่มสตรีแม่บ้านแสรโอ ๑๗ ก.ค. ๒๕๕๑๑๗ ก.ค. ๒๕๕๑๑๗ ก.ค. ๒๕๕๑๑๗ ก.ค. ๒๕๕๑บ้านลำพุก ๓ (๑) กลุ่มออมทรัพย์บ้านลำพุก(๒) กลุ่มอสม. บ้านลำพุก(๓) กลุ่มสตรีแม่บ้าน บ้านลำพุก ๑๗ ก.ค. ๒๕๕๑๑๗ ก.ค. ๒๕๕๑๑๗ ก.ค. ๒๕๕๑รวม ๔๕